วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

ห้ามผลาด!! ผลไม้ที่ควรค่าแก่การรับประทานในหน้าร้อน

ผลไม้ที่ควรกินในหน้าร้อน

ผลไม้ที่ควรกินในหน้าร้อน

   - แตงไทยหรือเมลอน มีฤทธิ์เย็น รสหวาน ช่วยกับกระหาย ขับปัสสาวะ คลายหงุดหงิด นอกจากปอกเปลือกแช่เย็นกินแล้วคนไทยเรายังมีวิธีกินแตงไทยอร่อยหลายอย่าง แต่ก็ไม่ขอห้าม ในคนที่ไอหรืออาเจียนเป็นเลือด ม้ามกระเพาะอ่อนแอ ท้องอืด ถ่ายเหลว ไม่ควรกินมาก


   - สาลี่ มีฤทธิ์หนาว (มากกว่าเย็น) รสหวาน เป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพค่อนข้างดี มีกากใยมาก ช่วยปรับความสมดุลของน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดคอเลสเตอรอล ลดร้อนดับกระหาย ช่วยย่อย เป็นต้น แต่ก็มีข้อห้ามผู้ที่อาเจียนจากกระเพาะเย็น ไอจากความเย็น ท้องร่วงและสตรีหลังคลอด แต่ถ้าไอแห้งควรกินสาลี่เพื่อความชุ่มชื้นให้แก่ปอด


   - มะพร้าว มีฤทธิ์เย็น รสหวาน น้ำมะพร้าวมีสารบำรุงมาก ช่วยดับกระหายคลายร้อน เพิ่มน้ำขับปัสสาวะ ทั้งยังมีรายงานว่าน้ำมะพร้าว มีอีสโตรเยนดื่มแล้วจะช่วยชะลอความเหี่ยวย่น สุภาพสตรีทั้งหลายจึงดื่มกันมาก ส่วนเนื้อมะพร้ามช่วยบำรุงชี่ ดับลม ขับพยาธิ เนื้อมะพร้าวแก่ มีไขมัน โปรตีนมาก สามารถนำมาทำอาหารและขนมได้หลายอย่าง สำหรับกะทิ ผู้ที่เป็นโรคตับและถุงน้ำดี ไขมันในเลือดสูงไม่ควรกินส่วนน้ำมะพร้าว มีข้อห้ามสำหรับผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นกรดไหลย้อน


   - แตงโม มีฤทธิ์หนาว รสหวาน ช่วยดับกระหาย คลายร้อน ขับปัสสาวะ แก้เมาเหล้า ลดความดัน เป็นต้น อย่าลืมก่อนผ่าแตงโมต้องล้างผลแตงโมและมีดก่อนเพราะจะได้ชำระสารค่าแมลงและเชื้อโรคออกไปก่อน แต่ผู้ที่กระเพาะ ม้ามไม่แข็งแรง หลังคลอด หลังป่วยหนัก ปัสสาวะมาก ปัสสาวะบ่อย ท้องร่วงง่ายกระเพาะลำไส้อักเสบไม่ควรกิน


  -  ส้ม ฤทธิ์เย็น สรหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยขับลมดับกระหาย แก้เมาค้าง ชุ่มชื่นปอด ระบาย เนื่องจากมีฤทธิ์เย็น ผู้ที่กระเพาะลำไส้อ่อนแอ หวัดเย็น หลังคลอดระหว่างอยู่ในเดือนไม่ควรกิน ก่อนและหลังกินส้ม 1 ชั่วโมงไม่ควรดื่มนม เพราะโปรตีนในนมพบกับกรดส้มในส้มจะทำให้จับเป็นก้อน เกิดการย่อยมาก ในส้มมีเบต้าแคโรทีนมาก ถ้ากินต่อเนื่องกันนานๆ จะทำให้ตัวเหลือง จึงควรกินแต่พอเหมาะ


  -  มะม่วง หน้านี้กำลังเป็นหน้ามะม่วง กินกับมะม่วงเป็นข้าวเหนียวมะม่วงดีนักแล มะม่วงมีฤทธิ์เย็น มีทั้งรสเปรี้ยว  หวานและเปรี้ยวอมหวาน ช่วยบำรุงกระเพาะ ดับกระหาย แก้อาเจียน โบราณจีนจึงมีคำกล่าวว่า "ถ้าไปทะเล กินมะม่วงจะไม่เมาคลื่น""ช่วยบำรุงชี่กระเพาะ ชข่วยลดเมาเรือลดอาเจียน"มะม่วงสุกยังใช้เนื้อพอกแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกช่วยลดบวมระงับปวด หรือใช้เม็ดมะม่วงต้มเอาน้ำดื่มแก้ร้อนใน มะม่วงดิบช่วยขับปัสสาวะ แต่ก็มีข้อห้ามสำหรับ ผู้ที่เป็นโรคปวดข้อชนิดชื้น แพ้บริเวณผิวหนังอวัยวะภายในเป็นแผลหรืออักเสบ ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคกระเพาะอักเสบ ไอชนิดเย็น


CR : http://guru.sanook.com/7389/
แหล่งที่มา : http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/healthtips/27600

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปากแห้ง แตก เป็นแผลง่าย มันเพราะขาดน้ำจริงหรอ ??



ปากแห้ง แตก เป็นขุย ไม่ได้มาจากการขาดน้ำ แต่สาเหตุที่แท้จริงมาจาก...

ตาแห้ง: เกิดจากการขาดวิตามิน A เคราติน
ปากเหม็น: ขาดวิตามิน B6 สังกะสี
ฟันไม่แข็งแรง: ขาดวิตามิน A แคลเซี่ยมและธาตุเหล็ก
ปากแห้ง แตก เป็นขุย: ขาดวิตามิน A และ B2
เลือดจาง มือเท้าเย็น: ขาดวิตามิน B6 กรดโฟลิค
เหนื่อยง่าย ไม่มีสมาธิ: ขาดวิตามิน B1 B2 B6
ผมร่วงเยอะเกินปกติ รังแคเยอะ: ขาดวิตามิน A B6 สังกะสีและธาตุเหล็ก



1. ปากเปื่อย อักเสบ แผลในปาก: ขาดวิตามิน B2

แผลที่เกิดรอบๆริมฝีปากหรือแผลในช่องปาก เกิดจากการขาดวิตามิน B2 ที่จะช่วยซ่อมแซมรอยแผลให้หายเป็นปกติ

วิตามิน B2 มีผลกับการสร้างผิวหนังและเส้นผมที่แข็งแรง เนื่องจากไม่สามารถสะสมไว้ในร่างกายคนเราได้ ดังนั้น เราจึงต้องรับวิตามินB2 เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหารหรือวิตามินเสริม
อาหารที่มีวิตามิน B2: ดื่มนมวันละ 250 cc. หรือทานเห็ดหอม เห็ดหูหนู ถั่วลิสง งาดำ หรือเมล็ดอัลมอนต์


2. ประสิทธิภาพในการรับรสเสื่อม: เกิดจากร่างกายขาดธาตุสังกะสี ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง เบื่ออาหาร  การเจริญเติบโตลดลง ผมร่วง และประสิทธิภาพในการรับรสเสื่อมลง

ถ้าหากพบว่าทานอาหารแล้วไม่ค่อยรู้รส เป็นแผลแล้วหายช้า อาจจะเป็นสาเหตุจากการขาดธาตุสังกะสี
อาหารที่มีธาตุสังกะสี: เนื้อวัว เนื้อแพะ สัตว์เนื้อแดงนั้นอุดมไปด้วยธาตุสังกะสี  หากทานเสต็กเนื้อชิ้นละ 8 ออนซ์ อาทิตย์ละครั้ง ก็จะได้รับธาตุสังกะสีในปริมาณที่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ


3.อาการปวดหรือไม่สบายกระเพาะ: เกิดจากการขาดวิตามิน A วิตามิน A นั้นไม่เพียงสามารถช่วยบำรุงรักษาสายตา แต่ยังช่วยบำรุงและปกป้องหลอดลมและกระเพาะ เคลือบป้องกันไม่ให้เชื้อโรคทำร้ายเราได้โดยตรงอีกด้วย

เพราะฉะนั้นหากขาดวิตามิน A นอกจากจะมีผลกระทบต่อดวงตาของเราแล้ว ยังจะมีผลเสียต่อหลอดลมและกระเพาะอาหารอีกด้วย
อาหารที่มีวิตามิน A: ทานแครอททุกวันหรือทานเครื่องในสัตว์อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ก็สามารถชดเชยปริมาณวิตามิน A ที่ร่างกายต้องการได้เพียงพอ


4.โกรธง่าย เหนื่อยง่าย: การขาดธาตุเหล็กไม่เพียงแต่จะเป็นสาเหตุของอาการเลือดจางแต่ยังทำให้มีอารมณ์แปรปรวนและโกรธง่าย

ธาตุเหล็กมีสารสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ยิ่งสำหรับผู้หญิงในวัยที่มีประจำเดือนแล้ว ธาตุเหล็กนั้นมีความสำคัญมาก เมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็กจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้าและร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่า
อาหารที่มีธาตุเหล็ก: สัตว์เนื้อแดง ไข่ไก่ ถั่วต่างๆ ผักสีเขียวเข้ม และอย่าลืมทานวิตามิน C เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กด้วยนะจ๊ะ



5. อาการปวดเมื่อยทั่วร่างกาย: ขาดวิตามิน D อาจจะเป็นเพราะได้รับวิตามินจากแสงแดดไม่เพียงพอ คนที่ขาดวิตามิน D จะเจ็บปวดตามร่างกายได้ง่าย

วิตามิน D นั้น มนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง
วิตามิน D สำคัญสำหรับโครงสร้างของกระดูก และฟันที่แข็งแรง
อาหารที่มีวิตามิน D: รับประทานปลาที่มีไขมันอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาดีน และควรหาโอกาสออกไปรับแสงแดดบ้างเพื่อปริมาณวิตามิน D ที่เพียงพอต่อร่างกาย
CR : www.liekr.com , www.share-si.com
ขอบคุณภาพสวยๆจาก www.google.com

6 สุดยอดผลไม้ที่จะทำให้คุณกลับมาดูสาวหล่ออีกครั้ง Young again.

6 ผลไม้เพื่อการคืนความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณคุณอีกครั้ง
ครีม โลชั่น หรือทรีทเม้นท์บำรุงผิวต่าง ๆ อาจจะช่วยได้ในเรื่องการทำให้ผิวสวยภายนอก หากแต่การบำรุงที่แท้จริงแล้ว จะมาจากจากภายในมากกว่า ผิวที่อ่อนเยาว์และมีสุขภาพดีไม่ได้มาจากการบำรุงภายนอกเพียงอย่าง ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวด้วย โดยเฉพาะผลไม้ เพื่อต่ออายุผิวใสของคุณให้ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ซึ่งผลไม้ที่ช่วยยืดอายุผิวอ่อนเยาว์ให้อยู่กับคุณนาน ๆ มีถึง 6 ชนิดด้วยกัน
1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ฯลฯ มีไฟเบอร์ วิตามิน C และ E ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ผิวสว่างสดใสสุขภาพดีทั้งนั้น ผลไม้ตระกูลนี้ มีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่สามารถฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลาย และป้องกันผิวให้หย่อนคล้อยได้ยากอีกด้วย
2. กีวี
เป็นผลไม้ไฮโซอีกชนิดหนึ่งที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่มีคุณค่าจากวิตามิน C ซึ่ง ช่วยในการเก็บรักษาคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง
3. แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว ช่วยให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ยาก และดูเปล่งปลั่งสุขภาพดีซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากแอปเปิ้ลแดง
4.มะม่วง
มะม่วงมี เบต้าแคโรทีน จะช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี ซึ่งจะกระตุ้นการสร้างผิวหนัง เพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื่น ทำให้ผิวนุ่มเนียนผิวเนียนใสเหมือนเด็ก
5.ฝรั่ง
ฝรั่ง เต็มไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง ว่ากันว่าหากรับประทานบ่อยๆจะทำให้ดูเป็นสาวขึ้นอีก 5 ปี
6. อโวคาโด
วิตามินบีในอะโวคาโด จะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษอีกด้วย
เท่านี้ก็รู้จักหน้าตาของสุดยอดผลไม้ทั้ง 6 ชนิดนี้กันแล้วนะครับ ผลไม้ไม่ได้มีเพียงแต่รสชาติที่หวานอร่อยแต่ยังแฝงไปด้วยประโยชน์ ที่สามารถสร้างผิวพรรณของคุณ หนุ่ม สาว ให้กลับมา สวยใส มีสุขภาพดี แล้วช่วงนี้อากาศในบ้านเรานั้นร้อนมากเลย อยากให้คนหนุ่มสาวหันมาดูแลสุขภาพตัวเองกันด้วยนะครับ
CR:http://www.insurancecoverageblog.com/
เรียบเรียงโดย //http://bkdriedfruit.blogspot.com/


วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

เป็นโรคร้ายหรอ...เรื่องกล้วย กล้วย




 ถ้าเรากิน กล้วย ทุกวันเราจะได้รับอะไรบ้างในร่างกายของเรา มาดูกันครับ...

           ถ้าต้องการให้ระดับพลังงานที่หย่อนยานลงนั้น กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาหารว่างใด ดีไปกว่า กล้วย เพราะกล้วยนั้นอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ ชนิด คือ ซูโครส ฟรักโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใย และกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด
           จากงานวิจัยพบว่า กินกล้วยแค่ ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอกับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจ ที่กล้วย เป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะและป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน

ประโยชน์ทางสมุนไพรของ กล้วย มีอะไรบ้าง มาดูกันเลย

1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูง จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิต ฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง ให้กลับมามีกำลัง

2. โรคความดันโลหิตสูง กล้วยมีธาตุโพแทสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่จะช่วยรักษาความดันโลหิต อย. ของอเมริกายินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วย สามารถโฆษณาได้ว่า กล้วย เป็นผลไม้พิเศษ ช่วยลดอันตรายอันเกิด เรื่องความดันโลหิต หรือ โรคเส้นเลือดฝอยแตก

3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วย ในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปริมาณโพแทสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วย สามารถช่วยให้นักเรียนมีความตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารในกล้วย ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
5. โรคซึมเศร้า จากการสำรวจเร็วๆนี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคน จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมาก หลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า Try Potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็น Serotionin เป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นตัวช่วยผ่อนคลาย ปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้ง จะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นม ก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายเรา

7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียดท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วย เป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วย ทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบเรื่องมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วย สามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
10. ระบบประสาท ในกล้วย มีวิตามินบีสูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกิน และโรคที่เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียพบว่า ความกดดันในที่ทำงาน เป็นเหตุนำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่น อาหารจำพวกช็อกโกแลต และอาหารประเภททอดกรอบต่างๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนก และนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุมเพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วย มีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารด้วย

12. ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่า กล้วยคือผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ในประเทศไทยจะทำให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น

13. ลดความอยากสูบบุหรี่ สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้ เพราะมีวิตามิน B6 , B12 โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ที่มีอยู่มาก จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน

14. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ Try Potophan ทำให้อารมณ์ดี

15. ความเครียด โพแทสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจนไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา Metabolic ในร่างกายของเราจะสูงขึ้น และทำให้ระดับโพแทสเซียม ที่มีอยู่ในร่างกายของเราลดลง แต่โพแทสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วย จะทำให้เกิดความสมดุล

16.เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร “The New England Jounal of Medicine” การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40 %


CR:Mthai /sanook / http://www.naturalcode-thailand.com/nutrient/bananahealth

มารู้จักเรื่องของกล้วย...ที่ไม่กล้วยนะ



เรื่องกล้วยๆที่ไม่กล้วย กล้วยเป็นผลไม้ที่นิยมทานมากในหมู่คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ด้วยประโยชน์และสารอาหารหลายๆ ประการ
กล้วยมีเบต้าเคโรทีน ให้พลังงาน อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที ชาวญี่ปุ่นก็มีสูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยหอมที่เป็นที่สนใจเป็นอย่างมาก 
กล้วยยังมีคุณประโยชน์อีกหลากหลาย ชนิด ทั้งไฟโตเคมิคัลที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ป้องกันมะเร็ง มีเอนไซม์ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานหนักลดลง ในกล้วยดิบยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง และหากกล้วยสุก ก็ทำให้ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นกว่าปกติอีกด้วย
นอกจากนี้ ในกล้วยนั้นจะมีวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยในการเร่งเผาผลาญ น้ำตาลและไขมัน ทั้งยังช่วยฟื้นฟูร่างกายการจากเหนื่อยล้า อีกยังมีโปแตสเซียมช่วยในการขับโซเดียม อันเป็นหนึ่งในตัวการที่จะทำให้ความดันเลือดสูงออกทางปัสสาวะ และส่งผลให้ลดการบวมของร่างกายได้ค่ะ

คุณค่าทางอาหารของกล้วยแต่ละชนิด

กล้วยไข่ 50 กรัม
พลังงาน56 kcal
น้ำ36 g.
น้ำตาล11 g. ประมาณ 2.2 ชช.
ใยอาหาร1.0 g.
เบต้าเคโรทีน136 mcg.
วิตามินซี5 mg.
โปแตสเซี่ยม135 mg

กล้วยน้ำว้า 40 กรัม
พลังงาน59 kcal
น้ำ25 g.
น้ำตาล9 g. ประมาณ 1.8 ชช.
ใยอาหาร0.9 g.
เบต้าเคโรทีน22 mcg.
วิตามินซี4 mg.
โปแตสเซี่ยม128 mg

กล้วยหอม 100 กรัม
พลังงาน120 kcal
น้ำNA
น้ำตาล14 g. ประมาณ 2.8 ชช.
ใยอาหาร3.0 g.
เบต้าเคโรทีนNA
วิตามินซี17%
โปแตสเซี่ยมNA
  Credit: กรมอนามัย กระทรงสาธารณะสุข, variety.teenee.com, health.kapook.com

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

Is dried fruit good or bad for me?


The question:
 Is dried fruit healthy or fattening?
The answer: Many people think that dried fruit is loaded with calories because it’s high in sugar. Neither is true.
Per serving, most types of dried fruit have no more sugar or calories than the fresh version. And dried fruit is a good source of fibre, iron, potassium and antioxidants.
Because drying fruit removes its water content, the portion size shrinks by about three-quarters. If you dehydrate one cup of fresh apricots, you’ll get 1/4 cup of dried apricots. (1/4 cup of dried fruit is considered one food-guide serving of fruit.)
As for calories and sugar, they’re pretty much equivalent. One cup of fresh apricot halves has 74 calories and 14.5 grams of naturally occurring sugar; 1/4 cup of dried apricots halves has 78 calories and 17 g of sugar.
Of course, if you eat more than one serving (1/4 cup) of dried fruit, the calories will add up. And overeating died fruit is easy to do. It tastes great and it’s less filling than fresh fruit due to the lack of water content. If you’re watching your calorie intake, measure out 1/4 cup of dried fruit before eating. (Don’t eat right out of the package!)
Some types of dried fruit, like cranberries, are sprayed with sugar before drying, which bumps up the calories. (One cup of fresh cranberries has 4 g of sugar and 46 calories; 1/4 cup of dried sweetened cranberries has 93 calories and 20 g of sugar.) Without added sugar, dried cranberries would taste as tart as fresh cranberries.
The nutrient content is similar between fresh and dried fruit. The main difference is that the dried version is often lower in vitamin C. That’s because the vitamin deteriorates when exposed to the dry heat necessary for dehydration.
Still, dried fruit is a much more nutritious snack than junk foods like potato chips, chocolate bars and candy. And its nutrient content certainly beats out refined flour snacks such as crackers, cereal bars and pretzels.
Some dried fruit – golden raisins and apricots – are treated with sulphur dioxide before they’re dried. This preservative allows dried fruit to retain their original colour instead of darkening during the drying process. However, sulphur dioxide can trigger asthma-like reactions in some people. Organic dried fruit does not contain the chemical; it’s darker in colour and has a slightly different favour, often more like the fresh version.
Dried fruit is a healthy snack. Enjoy it in a homemade trail mix or eaten on its own.
Raisins, dried cranberries, and chopped dates, figs and apricots are also delicious added to plan yogurt, oatmeal, whole grain breakfast cereals or homemade muffins and loaves.
Dried fruit details
  • Apricot halves, 1/4 cup: 78 calories, 17 g sugar, 2.4 g fibre, 378 mg potassium, 0.9 mg iron
  • Cranberries, sweetened, 1/4 cup: 93 calories, 20 g sugar, 1.7 g fibre, 12 mg potassium, 0.2 mg iron
  • Date (medjool), 1 piece (24 g): 66 calories, 16 g sugar, 1.6 g fibre, 167 mg potassium, 0.2 mg iron
  • Figs, three pieces: 63 calories, 12 g sugar, 2.4 g fibre, 171 mg potassium, 0.5 mg iron
  • Raisins, 1.4 cup, not packed: 108 calories, 21.5 g sugar, 1.3 g fibre, 272 mg potassium, 0.7 mg iron

WHY DRIED FRUIT IS NOT A HEALTHY SNACK ??

dried fruit_bowl
It looks good, but it’s not good for you… (Photo: We Heart It)
Put the dried cranberries down and back slowly—no, quickly—away from the trail mix. It turns out that eating chewy, gooey dried fruit isn’t the healthy snack you think it is. (Which is a damn shame considering its availability on road trips, at airports, and in the work vending machine…)
Most dried fruits are double, and sometimes even triple, the sugar content of fresh fruit, say wellness experts and nutritionists, like Ariane Hundt. “We’re talking 70 grams of sugar per serving,” says the founder of Slim and Strong, a fitness and food advice program, and Brooklyn Bridge Boot Camp. And sugar, in case you hadn’t heard, is pretty much the devil.
Here are five facts you need to know about dried fruit—and why you should probably just eat an apple (ooh, with peanut butter) instead. —Molly Gallagher
1. The sugar in fruit makes you fat fast. It’s called fructose and it can create all kinds of havoc on your health, says Hundt. Excess fructose gets quickly converted by the liver into VLDL, a form of cholesterol that’s high in triglycerides, which leads to fat storage. It’s also the type of sugar that creates insulin resistance, heart disease, obesity, and more.
dried fruit, Ariane Hundt
Nutritionist and trainer Ariane Hundt really wants you to stop eating dried fruit. (Photo: Ariane Hundt)
2. Dried fruit has way more sugar than fresh fruit. “Most people should limit their daily fruit intake to 30g of carbs [of sugar] per day, which is about one banana, one apple, or two cups of berries,” Hundt says. And that’s a lot less than what’s in the typical serving of dried fruit. One cup of fresh cranberries contains 4g of sugar and one cup of dried cranberries contains a whopping 70g.
3. Your brain doesn’t know how to say no to dried fruit. It’s easy to eat a ton of dried fruit, because fructose doesn’t signal to your brain when you’re full. “It doesn’t suppress ghrelin or stimulate leptin after you eat,” she explains. (Ghrelin makes you hungry and leptin stops hunger.)” Now it might make sense why you still feel hungry after inhaling a bag of trail mix.
4. It contributes to toxicity. “When the body breaks down fructose [in dried fruit or in any source], it produces a lot more waste products and toxins, and increases blood pressure more so than other carbs,” she explains
5. You’re better off eating candy than dried fruit, if you’re looking at the sugar content. Okay, we’re NOT saying go eat a candy bar, but you should know that one bag of M&Ms or a Milky Way bar has 30g of sugar, which is less than what’s in about a cup of dried papaya or figs.
The takeaway: Eat your fruit fresh, and save the dried stuff for special occasions.
For more information, visit www.brooklynbridgebootcamp.com